
เมื่อ “Internet Of Thing-IoT” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปและยังส่งผลต่อร้านค้าปลีกในอนาคตด้วย (reference บทคามเรื่อง : เมื่ออินเตอร์เน็ทเข้ามาในธุรกิจ…ลูกค้าจะเปลี่ยนไป!!) IoT ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักพยภาพของธุรกิจด้านโลจิสติกส์ด้วย
จากงาน World Mobile Congress เมื่อวันที่ 22-25 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา; ซึ่งเป็นงานแสดงโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมไปถึงการประชุมระดับสูงของผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือและการนำเสนอแเทคโนโลยีใหม่จากทั่วโลก; ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำทางด้านเครื่องมือสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ต่างประชันศักยภาพทางธุรกิจผ่านผลิตภัณฑ์อันล้ำสมัยต่างๆ และหนึ่งในผู้ผลิตที่เป็นที่จับตามองอย่าง Samsung ; บริษัทเกาหลีผู้ผลิต เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆที่เป็นมักเป็นนวัตกรรมล่าสุดของโลก; ก็ทำให้วงการสั่นสะเทือนได้อีกครั้ง เมื่อ Samsung กำลังก้าวเข้ามาในธุรกิจรถยนต์ด้วยโซลู่ชั่นสุดเจ๋งอย่าง “Samsung Connect Auto”
Samsung Connect Auto เป็นโซลูชั่นบนแพลตฟอร์ม Tizen OS ล่าสุดของ Samsung เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็กที่ใช้เชื่อมต่อกับพอร์ตของรถยนต์ (OBD-II port) ใต้พวงมาลัยรถยนต์ (ในอีก 20 ปีข้างหน้ารถยนต์ทุกคันจะมีพอร์ตนี้) ซึ่งทำให้เจ้าของรถและผู้โดยสารทุกคนสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ทได้ ( LTE data ผ่าน WiFi hotspot) โดยสิ่งที่ทำให้ Samsung แต่ต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นก็คือ เจ้าของรถ/ผู้โดยสารสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ทและเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา ภายใต้ Concept “Always on, Always smart” ในขณะที่บริการของผู้ให้บริการรายอื่นจะสิ้นสุดลงเมื่อ unplug อุปกรณ์และอยู่ห่างจากรถยนต์เกินระยะทางที่กำหนดไว้
Feature มากมายที่โซลูชั่นนี้มีให้ ได้แก่ “Find My Car” ที่สามารถระบุตำแหน่งที่อยู่และสภาพของรถยนต์ได้ตลอดเวลา,“Virtual Mechanic” ที่ทำหน้าที่ติดตามและเตือนผู้ใช้รถยนต์ให้ดูแลบำรุงรักษารถตามกำหนดที่ควรทำ รวมถึงการแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น โดยสามารถติดต่อไปยัง contact list /บริษัทประกันภัยได้อัตโนมัติอีกด้วย นอกจากนี้ยังมี featureอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาที่สำคัญอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบการออกรายงานการออกทริปทางธุรกิจเพื่อให้ผู้ใช้งานทราบค่าใช้จ่ายจากการเดินทางที่เกิดขึ้น หรือ “Driving Score” ที่ติดตามพฤติกรรมและให้คะแนนการขับรถอย่างปลอดภัยตามความเร็วที่กำหนดด้วยซึ่งข้อมูลนี้จะถูกส่งให้บริษัทประกันภัยเพื่อใช้ในการพิจารณาปรับลดค่าประกันในอนาคตได้ด้วย ซึ่งลูกค้าผู้ใช้งานสามารถเลือกที่จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้ใครก็ได้ตามความเหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าสิทธิของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของลูกค้าถูกกำหนดให้เป็นความท้าทายที่ Samsung จะต้องพิจารณาและดำเนินการอย่างรัดกุมเช่นเดียวกับข้อมูลที่ได้จากโทรศัพท์มือถือ/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆอย่างที่ผ่านมา
สำหรับผู้ประกอบการทางด้านโลจิสติกส์ Feature ที่น่าจับตาคงหนีไม่พ้น “Fuel Report Program” ที่ติดตามการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างประหยัดสำหรับรถทุกคันใน Fleet แต่ละคัน ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางในการลดมลพิษจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงและยังสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งได้จากการขับรถแบบประหยัด/มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
โดยในปี 2020, มีผู้เชียวชาญได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์จำนวนรถยนต์บนถนนไว้ ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 1.4 ล้านคัน โดย 30% (หรือประมาณ 450 ล้านคัน) จะสามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งนี่คือโอกาสทางธุรกิจอันมากมายสำหรับ Samsung และแน่นอนสำหรับบริษัทคู่แข่งในอนาคตด้วยเช่นกัน ในขณะที่ Samsung รู้ตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น จึงต้องหาคู่ค้าทางธุรกิจด้านอื่นเพื่อเสริมศักยภาพและเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่ตลาดได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ บริษัทประกัน หรือแม้แต่เครือข่ายการบำรุงรักษารถยนต์ ซึ่งดูเหมือนว่า Samsung จะเลือกจับมือทำธุรกิจกับคู่ค้ารายใหญ่อย่าง “Fiat Chrysler Automobiles” และ Europcar เรียบร้อยแล้ว และเราจะได้เห็น “Samsung Connect Auto” เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในครั้งปีหลังของปี 2016 นี้อย่างแน่นอน